By One Market Maker
SEO ย่อมาจากคำว่า Search Engine Optimization คือ การเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์ เพื่อทำให้ติดอันดับของเครื่องมือการค้นหา โดยในบริบทนี้เราจะพูดถึง Google นะครับ เพราะคนไทยเกือบนิยมใช้ Google ในการค้นหาเป็นหลัก โดยสามารถดูสถิติของส่วนแบ่งการตลาดการใช้เครื่องมือค้นหาเพิ่มเติมได้ที่ Search Engine Market Share ในประเทศไทย
SEO เป็นการตลาดออนไลน์รูปแบบหนึ่ง จัดอยู่ในประเภทของ Inbound Marketing หรือที่แปลตรงตัวว่า การตลาดแบบตั้งรับ เพราะหลักการทำอันดับ คือการรอให้ผู้คนค้นหาข้อมูลที่ต้องการลงใน Google แล้วจึงรอให้คลิกเข้าสู่เว็บไซต์
เราสามารถแบ่งการทำตลาดในรูปแบบนี้ได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่
ผมได้แบ่งหัวข้อออกเป็น 3 ข้อใหญ่ และอีก 13 หัวข้อย่อย สำหรับการปูพื้นฐานของ SEO เพื่อช่วยตอบคำถามที่ทุกท่านสงสัยเรื่อง SEO คืออะไร? เอาไว้ในบทความนี้บทความเดียว
(SEO Elements)
การทำ SEO มีหลักการที่ประกอบเข้าด้วยกันอยู่ 3 องค์ประกอบ เป็นส่วนที่ทำให้การทำ SEO นั้นสมบูรณ์ และหากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไป ผลลัพท์ของการทำอันดับก็จะไม่เป็นไปตามที่คุณคาดหวัง และต้องคอยแก้ไขปัญหาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งองค์ประกอบทั้ง 3 ส่วน ประกอบไปด้วย ดังนี้
ภาพรวมของ On-Page คือการปรับแต่งองค์ประกอบภายในเว็บไซต์ เพื่อการแสดงผลที่ดีต่อผู้ใช้ได้ เช่น
ภาพรวมของ Off-Page คือ การสร้างแรงส่งเสริมจากภายนอกเข้าสู่เว็บไซต์ ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดนอกเว็บไซต์แล้วทั้งสิ้น หรือที่นิยมเรียกว่า Backlink เพื่อเพิ่มพลังความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์
ภาพรวมของ Technical SEO คือ การปรับปรุงทางเทคนิค เพื่อให้เว็บไซต์แสดงผล และพร้อมต่อการใช้งานของผู้ใช้มากที่สุด เช่น
ก่อนเริ่มลงมือทำ SEO อยากให้เข้าใจแนวทางการทำงานของ Google Seaech ให้แม่นยำเสียก่อน เพราะเรากำลังจะทำเว็บไซต์ให้ขึ้นไปแสดงผลบนเครื่องมือค้นหาของ Google
Google เป็นเพียงตัวกลาง โดยหหน้าที่หลักในการทำงาน คือ ดึงเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับ “คำค้นหา” ที่ผู้ค้นหากรอกเข้ามา ดังนี้
โดย 2 คำนี้ เรียกได้ว่ามีความหมายเดียวกัน แต่อยู่ที่บริบทของผู้ใช้ เท่ากับว่า ตัวแรกของการค้นหา และทำอันดับจะไปตกอยู่ที่ “คำค้นหา”
(SEO Fundamentals)
คำค้นหา ดูเหมือนจะง่าย แต่จริง ๆ แล้วไม่ง่าย เพราะข้อผิดพลาดการทำ SEO ที่เจอบ่อย ๆ มาจากการที่เจ้าของธุรกิจไม่เข้าใจพื้นฐานของ Keyword และเลือกใช้ได้ไม่ถูกต้อง เช่น
การค้นหา คือ ส่วนที่จะช่วยให้คุณเข้าใจเรื่องจุดประสงค์ของคำค้นหามากขึ้น เพื่อที่จะนำข้อมูลส่วนนี้ไปวิเคราะห์ร่วมกับการหา Keyword ที่เหมาะสม โดยในเรื่องนี้ มีองค์ประกอบสำคัญ ดังนี้
การทำงานของการจัดอันดับ แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนที่ Google ใช้ในการแบ่งส่วนการทำงาน ดังนี้
การสำรวจเพื่อเก็บข้อมูล
Google มอบหมายหน้าที่ในการเสาะหานี้ให้ Bot (โปรแกรมที่ตั้งค่าให้ทำงานซ้ำๆ) ที่มีชื่อว่า Google Bot โดยใช้หลักการเดียวกับการประสานใยของแมงมุม (Spider) แบบใยต่อใยไปเรื่อย ๆ เพราะ Bot ก็ใช้หลักการขยายต่อโดยเกาะไปตาม Link ต่าง ๆ ทั่วโลกอินเตอร์เน็ต
การรวบรวมข้อมูล เพื่อจัดเก็บ
หลังจากที่ Google Bot เข้ามาเก็บข้อมูลภายในเว็บ ก็เข้าสู่กระบวนการจัดเรียงของข้อมูลเพื่อส่งต่อให้ Algorithm ประเมินผล เพื่อนำไปไปจัดอันดับต่อไป
การจัดอันดับ และนำไปแสดงผล
ขั้นตอนสุดท้าย คือ การนำเว็บไซต์ ขึ้นมาจัดอันดับ โดยต้องผ่านด่านประเมินของ Google Algorithm ซะก่อน เท่ากับว่าการทำ SEO ให้ได้ผลลัพท์ที่ดี เราต้องเข้าใจว่า Algorithm ณ ปัจจุบัน มีเงื่อนไขการคำนวนอย่าไงไรบ้าง?
Algorithm เป็นโปรแกรม Machine Learning ที่มีหน้าที่จัดอันดับให้กับเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ และ เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาเสนอแก่ผู้ค้นหาในในหน้าแสดงผล ทั้ง 10 อันดับในหน้าแรก
อย่างที่เราทราบที่ว่า Google มีการค้นหาหลากหลายรูปแบบ และสามารถแสดงผลลัพท์ได้มากมาย เพราะฉะนั้น Google มี Algorithm ที่รองรับอยู่มากมาย เช่น
ถึงตรงนี้ ทุกท่านน่าจะเล็งเห็นความสำคัญ และแนวทางการทำ SEO มากขึ้นแล้ว แต่ผมเชื่อว่าทุกท่านกำลังมีคำถามในหัวว่า เราจำเป็นต้องรู้จัก Algorithm ทุกตัวเลยหรอ? .. ก็ต้องตอบว่าใช่ครับ เพราะต้นทาง จน สุดทาง ของการตัดสินการจัดอันดับเว็บไซต์ของ Google เองล้วนแล้วเป็นการถอดรรกะออกมาจาก Google Algorithm ทั้งนั้น
นับตั้งแต่อดีต จากวันที่ Google ปล่อยอัลกอริทึมตัวแรกที่มีชื่อว่า Florida Update ปี 2003 จนถึงปัจจุบัน 2023 มีไปแล้วกว่า 25 Algorithm และแบ่งเป็นการอัพเดทแบบยิบย่อยได้อย่างนับครั้งไม่ถ้วน
จึงเป็นที่มาของการค้นหาต่อว่า แล้วปัจจัยอะไรบ้างล่ะ ที่ยังส่งผลต่อการทำอันดับได้จนถึงปัจจุบัน และปัจจัยที่อัพเดทใหม่ในปัจจุบัน ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้สามารถแตกย่อยประเด็นออกมาเป็น Ranking factors ตามหัวข้อที่ 5 เลย
(SEO Ranking Factors)
Ranking Factors คือ ปัจจัยที่ทำแล้ว มีผลต่อการทำอันดับ SEO Google ที่เป็นการแตกประเด็นออกมาจากข้อมูลของ Algorithm ทั้งในอดีตที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน รวมแล้วกว่า 200 ปัจจัย ซึ่งจับกลุ่มได้เป็น 6 หัวข้อ ดังนี้
แน่นอนว่า Google ยังคงอัพเดทอัลกอริทึมใหม่อยู่ตลอดเวลา โดยสามารถอ้างอิงได้จากพฤติกรรมของผู้คน และกระแสของโลก ได้ดั่งตัวอย่าง
เป็นต้น
(SEO Process)
ในฝั่งการทำงานของนัก SEO สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ขั้นตอนด้วยกัน ซึ่งในทุกขั้นตอนจะเกี่ยวข้องกับทุกหัวข้อด้านบนเลยครับ ดังนี้
การวิเคราะห์คำค้นหา คือ กระบวนการที่ช่วยให้คุณรู้ได้ว่าธุรกิจของคุณสามารถปิดยอดขายได้จาก Keyword อะไร? โดยพื้นฐานของการวิเคราะห์คำค้นหา อาศัยความรู้จาก 3 พื้นฐาน ดังนี้
ปัจจัยเสริม คือ ปัจจัยที่เข้ามามีส่วนร่วมในการศึกษาคำค้นหา เพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่มีคุณภาพมากที่สุด โดยอาศัย 4 ปัจจัยสำคัญ ดังนี้
เพราะผลลัพท์ที่ได้จากการวิเคราะห์คำค้นหา สามารถนำไปต่อยอดในการทำ SEO ได้อีกหลายกระบวนการ ซึ่งเรียกได้ว่า “ไม่ทำ ไม่ได้” และนี้คือ ตัวอย่างการนำ Keyword ไปทำงานต่อในด้านอื่น ๆ เช่น
การเพิ่มประสิทธิภาพคอนเทนต์ SEO ใช้พื้นฐานสำคัญ โดยเฉพาะในส่วนของ On-Page SEO เพราะเป็นส่วนที่ต้องแสดงผลให้กับผู้คนเข้ามาอ่าน โดยในส่วนของการเพิ่มประสิทธิภาพให้บทความทั่วไป แตกต่างกับ บทความ SEO ได้ ต้องอาศัยปัจจัยสำคัญต่าง ๆ ทั้ง 5 ข้อ ดังนี้
เรียกว่าปัจจัยที่กำลังจะกล่าวถึง เป็นต้นแบบของการทำ SEO Content ที่ดี ในยุคปัจจุบันเลยก็ว่าได้ครับ ดังนี้
Google ทำความเข้าใจสิ่งที่เราต้องการจะสื่อจาก Keyword ที่เราระบุลงไปในส่วนของปัจจัยทั้ง 5 ข้อด้านบนก็จริง แต่ส่วนที่คอยสนับสนุนอยู่ไม่ห่าง ก็คือ เนื้อหาบทความนั้นเอง หน้าเว็บไซต์นั้น ๆ จะไม่สมบูรณเลยหากปราศจากเนื้อหาบทความ
อย่างที่ใครหลายคนทราบเลยครับว่า บทความถือเป็นตัวขับเคลื่อนการทำ SEO ชั้นยอด ก็เพราะ…
การวิเคราะห์คู่แข่ง คือ การประเมินความยากง่ายของการทำอันดับใน Keyword ที่เราต้องการให้ไปเบียดกับคู่แข่งเจ้าอื่น ๆ หลายท่านที่ทำ SEO แล้วไม่ประสบความสำเร็จส่วนใหญา มองข้ามข้อนี้ไป
ต้องบอกอย่างนี้ครับว่า การทำอันดับเพื่อไปติดในตำแหน่ง Top5 ของคำค้นหานั้น ๆ คือการที่คุณต้องเอาชนะคู่แข่งจำนวน 95 เว็บไซต์ ที่อยู่มาก่อนคุณ หรือหากมองเพียงแค่หน้าแรก อย่างน้อย ๆ คุณก็ต้องเอาชนะคู่แข่ง 5 เว็บเพื่อไปติดอันดับที่ 5
แล้วถ้าทั้ง 10 อันดับในหน้าแรก ล้วนแล้วแต่ทำ SEO ด้วยกันทั้งนั้น เราจะทำอย่างไรให้เราติดอันดับได้เช่นกัน สิ่งนี้แหละครับ ที่เรียกว่า การวิเคราะห์คู่แข่ง และการแข่งขัน
การวิเคราะห์คู่แข่ง จำเป็นต้องใช้หลักการของการทำ SEO 3 องค์ประกอบ และอาศัยค่าวัดผลอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อช่วยในการวิเคราะห์คู่แข่ง มีดังนี้
การสร้างลิ้งค์ คือ การสร้างลิ้งค์จากเว็บไซต์ภายนอก เพื่อให้ส่งย้อนกลับมาที่เว็บไซต์ของเรา เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และส่งคุณค่าให้ Google เชื่อมั่นในเว็บไซต์ของเรา ส่วนนี้อาจเป็นเรื่องที่เข้าใจยากนิดนึงครับ แต่จะขออธิบายโดยการเปรียบเทียบกับการทำงานในความเป็นจริง
สมมุตินะครับ ผมเป็นคนที่น่าเชื่อถือในมุมมองของคุณ และผมก็ได้แนะนำคนที่จะช่วยให้งานคุณพัฒนาได้ดีขึ้น คุณจะเชื่อผมไหม? แน่นอนว่าคุณก็เชื่อผมเกิน 80% และผลลัพท์ของการทำ Backlinks ก็จะส่งต่อความน่าเชื่อถือโดยตรง “ยิ่งเว็บไซต์ของเราได้รับการอ้างอิงเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือมากเท่าไหร่ เว็บไซต์ของเรายิ่งได้รับคุณค่ามากขึ้นเท่านั้น“
โดยความเสี่ยงของการทำ backlink ไม่เพียงเฉพาะรูปแบบที่ซื้อ เพราะรูปแบบลงฟรีตามช่องทางต่าง ๆ ก็ต้องประเมินคุณภาพเว็บไซต์ต้นทางก่อนทุกครั้ง
เพราะหากไม่ได้สำรวจให้ชัดเจน ผลกรรมจะตกมาอยู่ที่เว็บไซต์ของคุณไม่ช้าก็เร็ว เพราะ Google กำลังสนใจเรื่อง Spam Link เป็นพิเศษ ก็คือการได้รับ Backlink จากเว็บที่ไม่มีคุณภาพ โดยสิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ เว็บไซต์ของคุณจะถูกลดคุณค่าลง ส่งผลให้ => อันดับเว็บลดลง คำค้นหาหายไปจากหน้าค้นหา เป็นต้น
การสำรวจเพื่อเก็บข้อมูล
คือ ทราฟฟิคที่เกิดขึ้นแบบธรรมชาติ โดยเริ่มต้นจากผู้ใช้ค้นหาผ่าน Google Search แล้วจึงคลิกเข้ามาอ่านในเว็บไซต์ รูปแบบนี้เรียกว่า Organic Traffic ซึ่งการทำ SEO เราคาดหวังผู้เข้าชมจากการเข้าในรูปแบบนี้แหละครับ เพราะถ้าเป็นการปั๊มตัวเลข มักจะเป็นการเข้าแบบ Direct Traffic ซึ่งตัวเลขขึ้นจริงในเครื่องมือเช็คสถิติ แต่ถ้าสิบค้นให้ลึก เราก็จะรู้ได้ว่าตัวเลขอาจจะไม่ได้มาจากการทำอันดับ SEO จริง ๆ
การรวบรวมข้อมูล เพื่อจัดเก็บ
คือ แหล่งของโดเมนที่ทำการอ้างอิงให้กับเว็บไซต์ของเรา เพราะการนับจำนวน Backlinks จริง ๆ แล้ว สามารถนับได้จากทุกหน้าที่ลิ้งค์เว็บไซต์ของเราปรากฏอยู่
สมมุติว่าผมแปะลิ้งค์เว็บไว้ในตำแหน่ง Footer ของเว็บไซต์หนึ่ง ที่มีหน้าเว็บทั้งหมด 500 หน้า เท่ากับว่า สิ่งที่จะผมได้รับ ก็คือ 1 Referring Domain กับอีก 500 Backlinks เพราะฉะนั้นเราอาจถูกหลอกโดยวิธีการดังกล่าว
การจัดอันดับ และนำไปแสดงผล
การจะรู้ได้ว่าเว็บไซต์นั้น ๆ มีการทำอันดับ SEO จริงไหม? สามารถใช้การตรวจสอบเชิงลึก เพราะลักษณะของเว็บไซต์ที่จงใจขาย Backlink ที่ไม่มีคุณภาพให้กับเรา มักจะเป็นการปั๊มค่าต่าง ๆ เพื่อหลอกล่อเราให้หลงกลในปริมาณของตัวเลขเหล่านั้น ผลที่ตามมา คือ การที่เราได้รับ backlinks จากเว็บที่ไม่ได้ทำ SEO ก็คงจะเป็นอะไรที่แปลกน่าดู ในสายตาของ Google อยู่พอสมควร….
เป็นส่วนที่จะเกิดขึ้นเป็นลำดับสุดท้ายของกระบวนการทำงานทั้งหมด เพราะเป็นส่วนของการวัดผล และพัฒนาต่อยอด ในกระบวนการนี้จะเกิดการทำซ้ำ เพราะหลังจากที่เราได้สถิติตัวเลขมาเป็นส่วนช่วยประเมินผล โดยเครื่องมือที่ใช้วัดผลก็มีดังนี้
ค่า CTR ต่ำกว่าที่ควรจะได้รับ เพราะมีการแสดงผลถึง 1000 ครั้ง จากการอยู่อันดับ 3 เท่ากับว่ามีผู็คนเห็ฯแต่ไม่คลิก ตีความได้ว่า “ข้อความของหัวข้อไม่น่าคลิกเท่าที่ควร หรือไม่มีคำช่วยจูงใจ กระตุ้นให้ผู้คนคลิกเข้ามา” แนวทางการพัฒนา คือ ปรับปรุงหัวข้อใหม่ เป็นต้น
และนี้คือการทำ SEO ที่สมบูรณ์ ตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ในบทความนี้อาจจะยังไม่ได้พูดแบบเจาะลึกเนื้อหาแบบสุด ๆ แต่ผมคิดว่าน่าจะช่วยให้ผู้เริ่มต้นทำ SEO เข้าใจในกระบวนการทำได้ ไม่มากก็น้อยนะครับ