ประเภทของคำค้นหา มีอะไรบ้าง? (พร้อมยกตัวอย่าง)
Keyword สามารถถูกเรียกได้หลากหลาย เช่น คำค้นหา หรือ คำหลัก เป็นต้น
Keyword มีความสำคัญต่อ SEO (Search Engine Optimization) เป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นปัจจัยที่ Google ใช้เพื่อจัดอันดับให้กับเว็บไซต์
เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาตรงกับคำค้นหาของผู้ใช้ หรือ ผู้ค้นหา ก็จะมีโอกาสติดอันดับ SEO ได้มากกว่าเว็บไซต์ที่มี เนื้อหาไม่ตรงกับคำค้นหา
หากต้องการให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับการค้นหาบน Google สิ่งสำคัญที่ต้องทำ คือการเลือกใช้คำค้นหาให้เหมาะสม ตลอดจนการปรับแต่งเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณให้สอดคล้องกับคำค้นหาเหล่านั้น
Keyword คือ คำที่นักการตลาดใช้เป็นตัวกำหนดเป้าหมายในการทำอันดับให้กับเว็บไซต์ เพื่อให้มีผู้ค้นหาเจอ
Search Terms หรือ Search Queries เป็นคำที่ผู้ใช้พิมพ์ลงไปในช่องค้นหา
สรุป
เมล็ดพันธ์ของคำค้นหา : โดยมากมักจะเป็นคำค้นหาทั่วไปที่มีความหมายกว้าง ๆ นิยมใช้เป็นจุดตั้งต้นในการวิเคราะห์คำค้นหา เพื่อเห็นภาพรวมทั้งหมด
ยกตัวอย่าง : “กระบี่”
คำค้นหาแบบสั้น ๆ : คนใช้ค้นหาข้อมูลทั่วไปบนอินเทอร์เน็ต โดย Short Keywords มักมีปริมาณการค้นหาสูง แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีการแข่งขันที่สูงมากเช่นกัน
ยกตัวอย่าง : “ทัวร์กระบี่” , “ที่พักกระบี่” , “ทะเลกระบี่”
คำค้นหาระดับกลาง : มีความยาวกว่า Short Keywords เพียงเล็กน้อย แต่ไม่ยาวเท่ากับ Long-tail Keyword ซึ่งคำค้นหาประเภทนี้ มีปริมาณการค้นหาต่ำกว่า Short Keyword มีความเฉพาะเจาะจงขึ้น
ยกตัวอย่าง : “แพ็คเกจทัวร์กระบี่” , “เที่ยวทะเลกระบี่”
คำค้นหาที่มีความยาว และเจาะจง : โดยมักจะมีปริมาณการค้นหาต่ำกว่าคำค้นหาประเภทอื่น ๆ และการแข่งขันมีโอกาสต่ำกว่า คู่แข่งน้อยกว่า (ไม่เสมอไป) แต่.. มีโอกาสปิดการขายได้มากกว่า เพราะด้วยความเฉพาะเจาะจงของผู้ใช้ แสดงเจตจำนงลงในคำค้นหาเรียบร้อยแล้ว
ยกตัวอย่าง : “เช่ารถยนต์กระบี่ ที่ไหนดี” , “โรงแรมในเมืองกระบี่ ใกล้ถนนคนเดิน ราคาถูก”
สรุป
คำค้นหาที่ใช้ชื่อแบรนด์ : เป็นการระบุชื่อแบรนด์บนเว็บไซต์ เ็นการสร้างแบรนด์ทางหนึ่ง เป็นคำค้นหาที่มีค่าสูง เพราะหากคุณทำการตลาดไปจำนวนเยอะมาก แต่ผู้ค้นหาที่อยากเป็นลูกค้าคุณ ค้นหาคุณไม่เจอใน Google ก็มีโอกาสที่คุณจะเสียลูกค้าไป
ยกตัวอย่าง : “Krabi Travel Guide”
คำค้นหาที่ใช้ชื่อผลิตภัณฑ์เฉพาะ : ซึ่งจะมีความคล้ายกับ Branded Keywords แต่จะเฉพาะเจาะจงมากกว่า หรือเป็นคำที่มีอยู่แล้ว ใช้กันอย่างแพร่หลาย
ยกตัวอย่าง : “ทัวร์กระบี่ 3 วัน 2 คืน” , “ทัวร์ 4 เกาะ”
คำค้นหาที่มีผู้ค้นหาตลอด : หมายความว่าถ้าคุณทำคอนเทนต์ โดยมีคำค้นหาหลักเป็นคำประเภท Evergreen คอนเทนต์ของคุณก็ยังคงอ่านได้ความหมายเช่นเดิม แม้เวลาจะผ่านไปอีก 5 ปี ข้างหน้าก็ตาม
ยกตัวอย่าง : “ประวัติเขาขนาบน้ำ” , “วัตถุโบราณในกระบี่”
คำค้นหาตามฤดู หรือ เทศกาล : หรือมีชื่อแบรนด์ของคุณอยู่ในนั้น เช่น Onemarketmaker ดังนั้น Branded Keyword จึงเป็นคีย์เวิร์ดหลักที่มีค่าสูง เนื่องจากผู้คนที่ค้นหาชื่อแบรนด์ของคุณนั้น แสดงว่าพวกเขามีความสนใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณอยู่แล้ว
ยกตัวอย่าง : “อ่าวมาหยา” , “กินเจ กระบี่”
คำค้นหาที่เจาะจงสถานที่ตั้ง : เป็นคำค้นหาที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจง ซึ่งเป็นผลดีมาก ๆ เพราะผู้ค้นหาให้ความสนใจเป็นทุนเดิม
ยกตัวอย่าง : “โรงแรมอ่าวนาง ติดทะเล” , “ร้านอาหารญี่ปุ่น กระบี่”
คำค้นหาตามกระแส : เป็นคำค้นหาที่อ้างอิงกับกระแสในปัจจุบัน นิยมทำคอนเทนต์ในรูปแบบข่าว
ยกตัวอย่าง : “ตั่วเครื่องบินไปกระบี่ช่วงปีใหม่แพงมาก”
สรุป
คำค้นหาที่ต้องการทำให้ติดอันดับ : โดยประกอบด้วย คำค้นหาหลัก (Primary keywords) และ คำค้นหารอง (Secondary keywords)
ความแตกต่างของคำค้นหาหลัก และรอง คือ การให้ค่าความสำคัญ
คำค้นหาหลัก = ต้องการให้ติดอันดับ
คำค้นหารอง = ต้องการให้ติดอันดับเช่นกัน แต่น้อยกว่าคำค้นหาหลัก
คำค้นหาหลัก : เป็นคำค้นหาที่อ้างอิงกับกระแสในปัจจุบัน นิยมทำคอนเทนต์ในรูปแบบข่าว
ยกตัวอย่าง : หน้าเว็บไซต์ที่รวมโปรแกรมทัวร์กระบี่ที่หลากหลาย ต้องการให้ผู้ใช้ค้นหาเจอจากคำว่า “แพ็คเกจทัวร์กระบี่”
คำค้นหารอง : มีหน้าที่ในการทำอันดับได้ใกล้เคียงคำค้นหาหลัก แต่ก็มีบทบาทสำคัญในการช่วยขยายความคำค้นหาหลัก
ยกตัวอย่าง : “แพ็คเกจทัวร์กระบี่ ราคาถูก” , “แพ็คเกจทัวร์กระบี่ 2567”
สรุป
คำที่มีความหมายเดียวกัน : LSI ย่อมาจาก Latent Semantic Indexing ในภาษาไทยเรียกว่าคำที่มีความพ้องความกัน
ยกตัวอย่าง : “คน กับ มนุษย์”
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : เป็นคำที่เกี่ยวข้องตรง ๆ นิยมใช้กำหนดเป็นคำค้นหารอง (Secondary Keywords)
ยกตัวอย่าง :
คำค้นหาหลัก = “ทัวร์กระบี่”
คำค้นหารอง (1)= “ทัวร์กระบี่ 1 วัน”
คำค้นหารอง (2)= “ทัวร์กระบี่ 2 วัน 1 คืน”
คำค้นหารอง (3)= “ทัวร์กระบี่ ครึ่งวันบ่าย”
คำค้นหารอง (4)= “ทัวร์กระบี่ 3 วัน 2 คืน”
เป็นต้น
ไอเดียของคำค้นหา : เป็นแนวทางในการสร้างเนื้อหาเฉพาะ โดยการใช้ Seed Keywords
ยกตัวอย่าง : “กระบี่เมืองน่าอยู่ ผู้คนน่ารัก”
สรุป
คำค้นหาแบบเจาะจงเป้าหมาย : เป็นคำค้นหาที่แสดงจุดประสงค์อย่างชัดเจน เจาะจงเป้าหมายในการทำธุรกรรมต่าง ๆ
ยกตัวอย่าง : “จองโรงแรมกระบี่ Agoda”
คำค้นหาแบบข้อมูล : เป็นคำค้นหาที่แสดงจุดประสงค์ เพื่อต้องการทราบข้อมูลของคำนั้น ๆ เช่น คืออะไร, ที่ไหน, เมื่อไหร่ และ อย่างไร เป็นต้น
ยกตัวอย่าง : “เรือหางยาว คืออะไร”
คำค้นหาเชิงพาณิชย์ : เป็นคำค้นหาที่แสดงจุดประสงค์ความต้องการซื้อ แต่ยังไม่ได้พร้อมซื้อ คำค้นหาประเภทนี้ คือคำที่จะช่วยให้ผู้ซื้อตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เช่น รีวิว, ยอดนิยม, ดีที่สุด และ การเปรียบเทียบ เป็นต้น
ยกตัวอย่าง : “เที่ยวกระบี่ pantip” , “คาเฟ่กระบี่”
คำค้นหาเพื่อทำธุรกรรม : เป็นคำค้นหาที่แสดงจุดประสงค์อย่างชัดเจนในการเจาะจงเพื่อทำธุรกรรม เช่น ซื้อ, เช่า และ จอง เป็นต้น
ยกตัวอย่าง : “เช่ารถยนต์กระบี่” , “จองทัวร์กระบี่”
ดูรูปภาพประกอบนะครับ อัตราการเพิ่มคนเข้าเว็บกว่า 70% ของจำนวนคนเข้าชมเว็บไซต์เข้าจากคำค้นหาประเภท Long-tail Keyword และมากกว่านั้นโอกาสการปิดการขาย หรือที่เรียกว่าค่า Conversion Rate ก็มาจาก Keyword ประเภทนี้เช่นกันครับ
สรุปใจความสำคัญ
จำนวนครั้งของคีย์เวิร์ดที่ถูกค้นหาในแต่ละเดือน ยิ่งคีย์เวิร์ดนั้นมีปริมาณการค้นหาสูงเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสปรากฏในผลการค้นหามากเท่านั้น
การแข่งขันระหว่างเว็บไซต์ของคุณกับคู่แข่งที่ถูกจัดอันดับด้วยคีย์เวิร์ดเดียวกัน ยิ่งการแข่งขันในตลาดสูงเท่าไหร่ โอกาสที่เว็บไซต์ของคุณจะปรากฏในอันดับ Google ที่สูง ก็ยิ่งยากขึ้น
คีย์เวิร์ดหลักควรมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาบนเว็บไซต์ เพราะจะทำให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสปรากฏในผลการค้นหาหน้า Google ได้ถูกต้อง และสอดคล้องกับเว็บไซต์ของคุณที่สุด
Keyword มีความสำคัญในการทำ SEO มาก เนื่องจากคีย์เวิร์ดเป็นคำค้นหาที่ผู้คนใช้เพื่อค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต ถ้าคุณเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมกับเนื้อหาของเว็บไซต์ คุณจะสามารถปรับแต่งเว็บไซต์ให้ตรงกับคีย์เวิร์ดเหล่านั้นได้ ผลลัพธ์ที่ได้คือ เว็บไซต์ของคุณจะมีโอกาสปรากฏในผลการค้นหาของ Google SERPs มากขึ้น
สรุปใจความสำคัญ
วิดีโอ เร็ว ๆ นี้ …