สวัสดีครับ ผมป่องนะครับ เป็นผู้ก่อตั้ง One Market Maker เว็บไซต์ที่รวบความรู้ด้าน SEO เป็นหลัก และ Website Marketing เป็นรอง
ผมใช้ความตั้งใจที่จะเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อให้เนื้อหาของบทความนี้สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับแบ่งปัน วิธีการทำบทความ SEO เพื่อให้ทุกท่านสามารถนำไปปรับปรุงพัฒนาเว็บไซต์ให้ติดอันดับหน้าแรก Google ได้อย่างมืออาชีพ
โดยอยากให้ทุกท่านค่อย ๆ อ่านหัวข้อตามลำดับสารบัญนะครับ ผมรับประกันว่าทุกข้อความที่ทุกท่านได้อ่านในบทความนี้ ยังไงก็ไม่เสียเวลา แถมได้ประโยชน์อย่างแน่นอน
ปัจจุบันคนไทยใช้เครื่องมือค้นหา (search engine) กันเกือบทุกวัน จากภาพประกอบด้านบนแสดงให้เห็นว่าประชากรในประเทศไทยใช้ Google กันอยู่ที่ 98.06% ในเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา และในขณะที่สถิติประชากรทั่วโลกก็ใช้ Google โดยเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 91% ซึ่งก็นับว่าเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลย
หากย้อนกลับมาดูตนเองและคนใกล้ตัว ผมเชื่อได้ว่าทุกคนคงต้องยอมรับว่า เราใช้ Google สืบค้นข้อมูลต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการ ทั้งการแสวงหาข้อมูลข่าวสาร บทความ รวมไปถึงการซื้อ-ขาย อาจกล่าวได้ว่า Google ซึ่งเป็นหนึ่งใน Search Engine คือเครื่องมือการค้นหาหลักของคนไทยก็ว่าได้
SEO ย่อมาจาก “Search Engine Optimization” หมายถึง การเพิ่มประสิทธิภาพในเครื่องมือการค้นหา ด้วยการใช้เทคนิคต่าง ๆ เข้ามาช่วยพัฒนาเว็บไซต์ให้อยู่ในอันดับที่ดีในหน้าค้นหา (Google)
โดยในปัจจุบัน การพัฒนาให้เว็บไซต์ใดใดก็ตาม ให้สามารถจับจองอยู่พื้นที่อยู่ใน 10 อันดับแรกของการค้นหา (หน้าแรก) กลายเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ซึ่งนัก SEO และคนในวงการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ SEO ต่างก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันนี้ และเรียกพฤติการณ์นี้ว่า “ทำ SEO” “ทำอันดับ” “บทความ SEO” หากคุณได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ นั่นหมายถึงว่าพวกเขากำลังพยายามทำเว็บไซต์ หรือ หน้าเพจเว็บไซต์ ให้ติดอันดับที่ดีใน Google เพื่อให้มีผู้ค้นเข้ามาเจอนั่นเองครับ
ซึ่งก็ต้องแจ้งตามตรงว่า บทความ SEO คือ ส่วน 1 ในอีกหลายปัจจัยในการทำ SEO และสำหรับท่านที่กำลังเริ่มต้นสนใจเรื่องนี้ อยากศึกษาปัจจัยในแง่มุมอื่นของ SEO เพิ่มเติม ก็สามารถเลือกอ่านได้จาก Content ดังนี้
บทความ SEO คือ บทความที่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการทำอันดับได้ หรือว่าง่าย ๆ คือช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีคนเข้าชมมากขึ้นได้ผ่านบทความ แต่สาเหตุที่ทำไมเราต้องเรียกว่า “บทความ SEO” ไม่ใช้คำว่า “บทความ” ล่ะ.. ก็เพราะว่าบทความทั่วไป ไม่สามารถทำอันดับเพื่อไปอยู่ในอันดับ Google ได้นั้นเอง หรือต่อให้ติดได้ ก็ไม่สามารถเอาชนะเว็บไซต์ที่ทำบทความ SEO ได้อย่างแน่นอน
คำหลัก หรือ คำค้นหา คือ ตัวแปรสำคัญในการทำให้บทความทั่วไป เป็น บทความ SEO ได้เลยครับ โดย Keyword มีหน้าที่กำหนดทิศทางของการทำบทความ (กำหนดหัวข้อเรื่อง) ยกตัวอย่างจากงานจริง
บทความที่มีหัวข้อเรื่องว่า
“น้ำยาทำความสะอาดโรงงาน เครื่องมือช่าง เครื่องจักร อุตสาหกรรม เกรตพรีเมี่ยม”
แน่นอนว่า ความต้องการของผมในลำดับสูงสุดเลย ก็คือ ผมต้องการให้ผู้คนที่ค้นหาคำว่า “น้ำยาทำความสะอาดโรงงาน” มาเจอกับเว็บไซต์ของผมบนหน้า Google ถูกไหมครับ และใช่ครับคำที่เหล่าโฟกัสที่สุด ในทาง SEO เรียกว่า Keyword หลัก (Primary Keyword) นั่นเอง
แต่สิ่งที่ผมจะบอกเพิ่มเติม ในหลักความเป็นจริงของการทำ SEO เราสามารถทำให้ 1 บทความ ติดอันดับได้มากกว่า 1 Keyword ซึ่งจะเป็น 2-3 ก็ทำได้ครับ แต่ก็ต้องอยู่ที่บริบทของบทความด้วยนะ
ซึ่งผมอยากให้ทุกท่านลองสังเกตจากหัวข้อตัวอย่างอีกครั้งนะครับ
“น้ำยาทำความสะอาดโรงงาน เครื่องมือช่าง เครื่องจักร อุตสาหกรรม เกรตพรีเมี่ยม”
เพราะผมได้จงใจเพิ่ม Keyword อีก 3 คำ ที่เรียกว่า Keyword รอง (Secondary Keyword) มารวมไว้ในหัวข้อบทความนี้ เพื่อเปิดโอกาสดึงคนเข้าให้มากที่สุดจากการทำ บทความเพียง 1 บท มีดังนี้
.
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะตั้งคำถามในใจลึก ๆ ว่า ได้หรอ? ผมก็จะบอกว่า ได้ครับ มันเกิดขึ้นจริง และก็ต้องยกให้ความฉลาดหลักแหลมของ Google เลยครับ
สิ่งที่ผมอยากจะสื่อ คือ เพียงเราทำความเข้าใจวิธีการคิดของ Google ให้ลึกซึ้ง เข้าใจพื้นฐานของ SEO ให้ครบเพียงพอ คุณก็สามารถทำอันดับได้
และมากไปกว่านั้น รูปภาพประกอบด้านล่าง คือ Keyword ที่มีผู้คนค้นหา และคลิกเข้าบทความจริง ๆ จากหน้า Google …
*** ผมอาจจะต้องขอข้ามเรื่องของตรรกะการทำงานของ Google ไปก่อนนะครับ ซึ่งสำหรับท่านที่อยากศึกษาเพิ่มเติม ก็สามารถเข้าไปอ่านบทความของผมต่อได้ใน 2 หัวข้อนี้ :
สรุปคำศัพท์
.
ส่วนเรื่อง Keyword จริง ๆ แล้วมีหลายประเภทมากเลยครับ ผมจึงต้องขอรบกวนทุกท่าน ไปอ่านต่อที่ : Keyword เพราะเดียวจะหลุดเรื่องวิธีการทำบทความ SEO ไปไกลล
การทราบจุดประสงค์ของการค้นหา เป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อการทำบทความ SEO เพราะต่อให้เรารู้ว่า เรากำลังทำ Keyword
สำคัญที่สุดเลยครับ ของการทำบทความ SEO ให้แตกต่างจาก บทความทั่วไป คือ การที่เราต้องรู้ว่า กำลังจะทำเรื่องอะไร ? บทความประเภทไหน ? และ ต้องการให้ใครอ่าน ?
เครื่องมือที่เราต้องใช้ คือ Keyword Surfer และ หน้า SERP ซึ่ง 2 ตัวนี้เป็นเครื่องมือฟรี แต่การทำงานคุ้มค่ามากๆ
คือการดูจุดประสงค์ของผู้ค้นหา Keyword นั้นๆ ผ่านหน้า SERP ยิ่ง Google แสดงผลการค้นหาในรูปแบบไหนออกมาใน % ที่มากที่สุด เท่ากับว่าให้เรามองสะท้อนออกมาเลยครับ
ค้นหาคำอะไรไป หน้า SERP ก็จะแสดงผลขึ้นมา = ผู้คนต้องการสิ่งเหล่านั้น
(เชื่อใจใน Google เพราะ Google กำลังพัฒนาตัวเองให้ตอบคำถามพวกเราให้ได้อย่างดีที่สุด)
กระบวนการ 2 ข้อนี้ เป็นปกติของผมมากที่จะใช้ในการประเมินก่อนทำบทความ เพื่อป้องกันการทำแล้วไม่ผิดโจทย์ หรือ เรียกง่ายๆว่าทำแล้วก็อยากจะให้คุ้มที่สุดนั้นเอง
การกำหนดหัวข้อรองในบทความ ก็คือ การวาง Heading 2-6 เพราะการวางหัวข้อที่ถูกต้อง จะส่งผลต่อการสื่อความหมาย และ ช่วยตอบสนองความต้องการของผู้อ่านได้เป็นอย่างดี
*** H1 หายไปไหน ? โดยปกติแล้ว Heading 1 จะเป็น Site Title หรือ หัวข้อเรื่องของบทความนั้นๆ อยู่แล้วครับ เพราะฉะนั้นการวางแผนหัวข้อย่อยในบทความ จึงไม่จำเป็นต้องวางแผน
จากหัวข้อก่อนหน้า ที่ผมให้ทุกท่านหา “คำค้นหาหลัก” ให้เจอ และ รู้ว่าจะทำบทความประเภทอะไร ? ก็เพื่อเอามาใช้ในหัวข้อนี้เลยครับ
โดยมีเงื่อนไขอยู่ 1 ข้อนะครับ คือ หัวข้อย่อยในบทความ ต้องเป็นหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหาหลักนั้นจริงๆ จะมี Volume หรือ ไม่มีก็ได้
โดยไฮไลท์สีเหลือง คือ หัวข้อที่มีคำค้นหาที่ผ่านการวิเคราะห์มาแล้ว ในบทความนี้มี 7 หัวข้อที่ตั้งใจผสมคำค้นหา และ อีก 6 หัวข้อที่ตั้งใจทำหัวข้อที่ไม่มีคำค้นหา แต่ทั้งหมดทั้งมวล คือ การทำแบบธรรมชาติครับ
ลองคิดในทางกลับกันว่า ถ้าเราเน้นไปที่หัวข้อไปที่ต้องเป็นคำค้นหาเพียงอย่างเดียว Google จะมองอย่างไร ?
ส่วนตัวผมใช้ % อยู่ที่ 50-70% ในการผสมคำค้นหาใน heading ต่างๆ ซึ่งยังสามารถทำอันดับได้อย่างดีเสมอมาครับ
*** อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าการทำ SEO จะมีปัจจัยอีกหลายข้อมากกว่านี้ รวมไปถึงเทคนิคอื่นๆ แต่ผมรับรองว่า สำหรับสาย Content Writer เท่านี้ก็เพียงพอต่อการสร้างคุณภาพให้กับงานแล้วล่ะครับ
และสำหรับท่านใดที่สนใจอยากเรียน SEO ขั้นสูงกับผมแบบตัวต่อตัว ก็สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง : https://onemarketmaker.com/seo-advanced/
ยิ่งใช้คีย์เวิร์ดที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นเท่าไหร่ + รู้ Volume ของ Keyword + ประเมิน Search intent ของผู้ค้นหาได้ดี… โอกาสที่คุณจะทำ Content ให้ตรงใจลูกค้า เพื่อปิดการขายได้ ก็สูงขึ้นมากเท่านั้นครับ
สถานการณ์จำลอง โดย นายป่อง
และแน่นอน นายป่อง จะพยายามค้นหาจาdทุกช่องทาง โดยเริ่มที่ หน้า Google และสำหรับทุกท่านที่อ่านถึงตรงนี้ พอจะเห็นอะไรมั้ยครับ
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ขอออกตัวก่อนว่าผมไม่ได้กำลังพยายามเชียร์ว่า SEO ดีที่สุด แต่ถ้าคุณใช้เทคนิดที่ได้รับรู้เหล่านี้ควบคู่ไปด้วยกันได้ จะดียิ่งกว่าแน่นอน ทั้ง การตลาดแบบนำเสนอ และ การตลาดแบบตั้งรับ (Outbound marketing และ Inbound marketing)
และยิ่งไปกว่านี้ การทำ SEO สามารถสร้าง Organic Search เข้าสู่เว็บไซต์เราได้อย่างมากมาย อาจเรียกว่า ผู้เข้าชมแบบธรรมชาติ คือ เราไม่ได้บังคับให้ใครเข้าเว็บของเรา แต่เป็นการเข้าถึงโดยลูกค้าที่ค้นหา แล้วเจอเว็บไซต์ของเราเอง
ยิ่งหว่านเมล็ดพันธุ์ชั้นยอด ด้วย Content ลงไปใน Website มากเท่าไหร่ โอกาสเพิ่มการรับรู้ ที่นำไปสู่การปิดการขายก็มากขึ้นตามเท่านั้น..
นั่นก็คือ การมีเว็บไซต์ และ ทำ Content ในรูปแบบของบทความ+รูปภาพ โดยใช้คำค้นหาที่ตรงใจผู้ค้นหา เมื่อมีความต้องการ เรามีหน้าที่ตอบโจทย์ความต้องการนั้น โดยให้การทำ SEO Google เป็นผู้สานความสัมพันธ์ให้เราได้เจอกับลูกค้า เพียงเท่านี้ คุณก็มีตัวตนในโลกของ Google แล้วล่ะครับ สิ่งที่พิเศษอย่างหนึ่งคือ Google พัฒนาตัวเองตลอดเวลา โดยจะเลือกยืนอยู่ฝั่งผู้บริโภคเสมอ หน้าที่ของเราต่อการทำ SEO คือ ทำ Content ที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนให้ได้ นี่แหละครับ “SEO”
การทำ SEO จะแตกต่างจากการทำโฆษณาแบบยิง Ads โดยสิ้นเชิง เพราะ ในด้านของ Outbound Marketing คือการผลักป้ายโฆษณาให้ออกไปสู่กลุ่มลูกค้าของเราให้ได้ จ่ายเงิน = มีคนเห็น แต่สำหรับ SEO จ่ายเงินอยากให้เห็น = ไม่ได้ เพราะฉะนั้นการทำ SEO สำคัญที่สุดในการเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ดี (Keyword) ซึ่งต้องผ่านกระบวนการวิเคราะห์ เตรียมการ คัดสรร ในทุกขั้นตอนอย่างดี ยิ่งทำมาก ยิ่งเพิ่มโอกาสเก็บผลผลิตมากขึ้นเท่านั้น และที่สำคัญ ต้องใช้เวลา 3-6 เดือน ในการเริ่มต้น